ประวัติศาสตร์อินเดียเริ่มต้นเมื่อ 3,000 ปีก่อนคริสตกาล หลักฐานทางโบราณคดีที่พบในแคว้นปัญจาบและแคว้นคุชราตของอินเดีย บ่งบอกถึงความรุ่งเรืองของสังคมเมืองและอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุในยุคสมัยนั้นในศตวรรษที่ 6 ก่อนคริสตศักราช ชนเผ่าอินโด-อารยันที่ปกครองอินเดียอยู่ในขณะนั้นได้ตั้งอาณาจักรที่ปกครองโดยกษัตริย์นักรบขึ้นเป็นผู้ปกครองดินแดนที่ราบลุ่มแม่น้ำคงคา (Gangaplain) มีชนเผ่าต่างๆ เป็นบริวารอยู่รอบๆ ต่อมามีการต่อต้านความมีอำนาจของพวกพราหมณ์ทีมีอิทธิพลต่อชีวิตความเป็นอยู่ของชาวอินเดีย ส่วนใหญ่พวกที่ไม่เห็นด้วยต่างพากันแสวงหาศาสดาใหม่เป็นบ่อเกิดของศาสนาใหม่ๆ ความเชื่อใหม่ๆ ขึ้นในเวลานั้นเองจึงเกิดศาสนาสำคัญขึ้น 2 ศาสนา คือ ศาสนาพุทธ (Buddhism) กับศาสนาเชน (Jainism) ในขณะที่ศาสนาฮินดูรุ่งเรืองและมีอิทธิพลอย่างมากอยู่ในอินเดีย พวกมคธ (Magodh) มีอำนาจปกครองอยู่ในแถบที่ราบตอนเหนือ พระเจ้าจันทรคุปต์แห่งราชวงค์โมริยะ (Chandragupta Maurya) เป็นกษัตริย์องค์สำคัญในประวัติศาสตร์ของอินเดีย พระเจ้าจันทรคุปต์ทรงตั้งเมืองปาฏะลีบุตร (Pataliputra) เป็นเมืองหลวงของอินเดียซึ่งกล่าวกันว่า เมืองปาฏะลีบุตรเป็นเมืองใหญ่ที่สุดของโลก ต่อมาพระเจ้าจันทรคุปต์หันไปนับถือศาสนาเชนและบำเพ็ญทุกขรกิริยาด้วยการอดอาหารตามความเชื่อของศาสนาเชน จนกระทั่งสิ้นพระชนม์ ราชวงค์โมริยะเจริญรุ่งเรืองมากที่สุดในยุคสมัยของพระเจ้าอโศกมหาราช ผู้แผ่อิทธิพลและขยายอาณาจักรอินเดียออกไปไกลจนทิศเหนือจรดแคว้นกัศมีร์หรือแคชเมียร์ (Kashmir) และทางด้านทิศใต้จรดไมเซอร์ (Mysore) และทางด้านทิศตะวันออกจรดโอริสสา (Orissa) เมื่อขึ้นครองราชย์ใหม่ๆ พระเจ้าอโศกมหาราชทรงใช้วิธีปราบปรามผู้ต่อต้านพระองค์อย่างโหดเหี้ยม ทรงขยายอาณาจักรด้วยกองทัพที่เกรียงไกร เข่นฆ่าผู้ล้มตายใบไม้ร่วง แต่ภายหลังเมื่อพระเจ้าอโศกมหาราชหันมานับถือพุทธศาสนาทรงเปลี่ยนวิธีการขยายอาณาจักรด้วยกองทัพธรรมเผยแพร่ศาสนาพุทธโดยส่งสมณทูตไปทั่วโลกโดยเฉพาะประเทศในแถบเอเชีย
ต่อมาได้มีการรวมพลังกันต่อสู้เพื่ออิสรภาพของอินเดีย มีการตั้งพรรคการเมืองชื่อ พรรค National Congress ขึ้น จุดประสงค์มิได้เล่นการเมือง แต่มุ่งไปที่การหาทางปลดปล่อยให้อินเดียเป็นเอกราช มีการรณรงค์ให้ความรู้และปลุกระดมความเป็นชาตินิยมขึ้นในอินเดีย นำโดยมหาบุรุษคนสำคัญของอินเดีย คือ ท่านโมหัน-ทาสการามจัน คานธี (Mohandas Karamchand Gandhi) ซึ่งชาวอินเดียเรียกด้วยความยกย่องว่า “มหาตมะ” (Mahatama แปลว่า Great Soul)ผู้ใช้วิธีอหิงสา (non-violence) ต่อสู้กับผู้ปกครองอังกฤษอย่างเงียบๆ มหาตมะ คานธีเป็นผู้นำชาวอินเดียทั้งประเทศทำการประท้วงอย่างสันติในปี ค.ศ.1922 และได้นำชาวอินเดียต่อต้านกฎหมายเรียกเก็บภาษีเกลือของอังกฤษในปี ค.ศ. 1930 และเดินขบวนครั้งใหญ่เรียกร้องให้อังกฤษปลดปล่อยอินเดียในปี ค.ศ. 1942 มีการก่อการจลาจลกลางเมืองจนถึงขั้นนองเลือดเกิดขึ้นในหลายเมืองของอินเดีย เหตุการณ์เหล่านี้บีบบังคับให้อังกฤษต้องทำความตกลงยอมยกอำนาจการปกครองประเทศให้อินเดียในวันที่ 15 สิงหาคม ค.ศ. 1947 ซึ่งชาวอินเดียถือว่าเป็นวันประกาศอิสรภาพ และวันหยุดราชการของประเทศด้วย ในปี ค.ศ. 1947 อินเดียได้เอกราชจากอังกฤษแต่อินเดียต้องแบ่งประเทศออกเป็น 2 ประเทศ คือ อินเดียที่มีประชากรส่วนใหญ่เป็นประเทศสาธารณรัฐอินเดีย อินเดียส่วนน้อยที่มีประชาชนเป็นมุสลิมแยกตัวไปตั้งประเทศใหม่เป็นรัฐอิสลาม ชื่อ ปากีสถาน
อินเดียเป็นประเทศที่มีพื้นที่ใหญ่เป็นลำดับที่ 7 ของโลก มีพื้นที่ทั่วไปประมาณ 3.3 ล้านตารางกิโลเมตร แม้จะตั้งอยู่ในเอเชีย อินเดียก็มีความแตกต่างจากประเทศอื่นๆ ในเอเซีย และมีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ด้านทิศเหนือของประเทศจรดเทืองเขาหิมาลัย ซึ่งลาดเทลงไปสู่ที่ราบลุ่มแม่น้ำคงคา ในอินเดียตอนกลางเทือกเขาวินธัย (Vindhya) แบ่งแยกคาบสมุทรเดคข่าน (Deccan Peninsular) ออกจากที่ราบตอนเหนือของประเทศ ด้านชายฝั่งทะเลทิศตะวันตะวันออกติดฝั่งเบงกอล (Bengal Bay) และทิศตะวันตกเป็นฝั่งทะเลติดกับทะเลอาหรับ (Aradian Sea) ด้านทิศใต้สุดจรดมหาสมุทรอินเดียอันกว้างใหญ่ไพศาล ที่ราบเดคข่าน(Deccan Plateau) เป็นถิ่นเก่าแก่ที่สุดของอินเดีย ซึ่งนักธรณีวิทยาสันนิษฐานว่าเคยเป็นแผ่นดินเดียวกันกับแผ่นดินทวีปอเมริกา ใต้ แอฟริกา ออสเตรเลีย ภายหลังเกิดความเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลกจึงแยกออกจากกันดังที่เป็นอยู่ใน ปัจจุบันอินเดียมีพรมแดนทางบกติดต่อกับปากีสถาน อัพฟานิสสถาน จีน เนปาล ภูฐาน พม่า และบังคลาเทศ ส่วนอื่นๆ ของประเทศติดกับมหาสมุทรอินเดีย และทะเลอาหรับ
เศรษฐกิจ
อินเดียเป็นประเทศที่มีวัฒนธรรมเก่าแก่โบราณมานานนับพันๆ ปี ประชากรประกอบด้วยชนเผ่าต่างๆ ที่สืบเชื้อสายมาจากกลุ่มชนที่มีอารยธรรมรุ่งเรืองมาแต่ครั้งก่อนประวัติศาสตร์ คือ อารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ ประวัติศาสตร์อันยาวนานของอินเดียผ่านการปกครองของชนชาติที่เคยยิ่งใหญ่ในอดีตมามากมาย เช่น พวกเติร์กที่นำศาสนาอิสลาม และวัฒนธรรมใหม่ผสมกับวัฒนธรรมดั้งเดิมของชาวอินเดีย ก่อให้เกิดมรดกทางวัฒนธรรม เช่น สถาปัตยกรรมที่มีลักษณะเด่นจากการผสมผสานกันระหว่างศิลปะของโมกุลกับ เปอร์เซียในด้านภาษาชนในชาติอินเดียที่มีอยู่หลายกลุ่มมีความหลากหลายทางประเพณี ภาษาและวัฒนธรรม ภาษาราชการของอินเดียก็คือ ภาษาฮินดี ซึ่งเป็นภาษาเก่าแก่โบราณของดลก ปัจจุบันคนอินเดีย 30% พูดภาษาฮินดี ส่วนภาษาอังกฤษนั้น การตกเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ ทำให้คนอินเดียต้องเรียนรู้ภาษาอังกฤษทุกคน ดังนั้น ภาษาอังกฤษจึงเป็นภาษาที่คนอินเดียเข้าใจดี และใช้ได้คล่องในการสื่อสารทั้งการพูดและการเขียนจนภาษาอังกฤษเป็นภาษาสำคัญระดับชาติของอินเดียใช้ในการทำธุรกิจการค้าและการเมืองทั้งในประเทศและต่างประเทศ วัฒนธรรมของคนอินเดียแม้จะมีการเลือกปฏิบัติ แต่ให้เกียรติผู้หญิง ถึงแม้ว่าสตรีจะมีฐานะด้อยกว่าบุรุษในสังคมทั่วไป แต่คนอินเดียจะไม่แตะต้องร่างกายสตรีในที่สาธารณะ มารยาทในการทักทายกัน ทั้งหญิงและชายจะพนมมือไหว้เหมือนคนไทย เพียงแต่ไม่ก้มศีรษะ ไม่มีการจับมือกันแบบเช็คแฮนด์เช่นชาวยุโรป ในชนบทที่ห่างไกลความเจริญ ผู้ชายอินเดียมักจ้องมองผู้หญิงโดยเฉพาะหญิงต่างชาติอย่างจริงจัง ไม่ต้องตกใจกลัวว่าพวกเขาจะเข้ามาลวนลามทางเพศ หากตราบใดที่การนุ่งห่มเสื้อผ้าเรียบร้อยมิดชิดเป็นสุภาพชน พวกเขามองเพราะสนใจและสงสัยไม่ได้มองด้วยเจตนาจะเข้ามาทำร้ายแต่อย่างใด
อาหารอินเดียมีชื่อเสียงในการใช้เครื่องเทศเป็นหลักในการปรุงอาหาร อินเดียมีวัฒนธรรมรุ่งเรืองมานานพันปี อาหารการกินของอินเดียจึงมีชื่อเสียงในด้านวัฒนธรรมการกินที่ต่างไปจากอีกซีกโลกอื่นมาก คนอินเดียส่วนใหญ่นับถือศาสนาฮินดู ซึ่งนับถือว่าวัวเป็นสัตว์ของเทพเจ้า ดังนั้น เนื้อวัวจึงเป็นอาหารต้องห้ามของชาวฮินดู ส่วนเนื้อหมูนั้นเป็นอาหารต้องห้ามของชาวมุสลิม ซึ่งมีอยู่มากในอินเดีย อาหารที่ประกอบด้วยเนื้อหมูหรือเนื้อวัวจึงหากินยาก อาหารที่อยู่ในเมนูของภัตตาคารและร้านอาหารในอินเดีย คือ ไก่กับเนื้อแพะ (Mutton) ส่วนเครื่องเทศนั้นเป็นยาดำแทรกอยู่ในอาหารอินเดียทุกจาน แกงของอินเดีย (Indian curry) ใช้เครื่องเทศแห้ง เช่น มัสซาลา-Masala (เครื่องเทศผสม มี หอม กระเทียม ลูกผักชี ขิง พริกไทยเม็ด อบเชย ใบกระวาน กานพลู และลูกจันทน์เทศ ทุกอย่างป่นเป็นผงแล้วผสมเข้าด้วยกัน) ไม่ใช้เครื่องแกงสด เช่น ข่า ตะไคร้ ผิวมะกรูด เหมือนเครื่องแกงไทยทั้งไม่ใส่ผักต่างๆ ลงในแกงนอกจากเนื้อสัตว์ เช่น แกงปลา แกงไก่ ก็ใส่แต่ปลาหรือไก่ ภาคใต้ของอินเดียใช้กะทิในการปรุงอาหาร ส่วนภาคเหนือใช้เนย (Ghee) น้ำแกงอินเดียค่อนข้างข้นเป้นสีเหลืองด้วยขมิ้น หรือผงกะหรี่ หรือหญ้าฝรั่งอาหารจานเด่นของอินเดียมีหลายอย่าง ที่คนไทยรู้จักและคุ้นเคยดี คือไก่ทานโดริ (Tandoori Chicken) เป็นไก่ที่หมักในเครื่องปรุงแล้วย่างหรืออบในเตาดิน กับแกงถั่ว (Dal) อาหารจานเด่นอีกจานหนึ่งคือ ข้าวหมก (Biryani) มีทั้งข้าวหมกแพะและข้าวหมกไก่ Kebab คือ เนื้อแพะ บดปั้นเป็นก้อนย่าง เมืองที่อยู่ริมทะเล เช่น Gao อดีตอาณานิคมของโปรตุเกส เป็นถิ่นชาวคริสต์ ไม่มีข้อจำกัดเรื่องเนื้อหมูหรือเนื้อวัว มีอาหารจานเด่นเป็นอาหารทะเล อินเดียกินข้าวเป็นอาหารหลัก แต่ข้าวของอินเดียเมล็ดใหญ่กว่า ข้าวที่ดีและมีชื่อเสียงของอินเดียคือ ข้าวบัสมาตี (Basmati Rice) ซึ่งเป็นข้าวหอมเมล็ดยาวใหญ่กว่าข้าวหอมมะลิของคนไทยในท้องถิ่น (ทางเหนือของประเทศ) ที่ไม่มีการปลุกข้าว ชาวอินเดียจะกินขนมปังชนิดต่างๆ กับแกงนอกจากกินข้าวแล้วชาวอินเดียกินแป้งแผ่น เช่น โรตี (Roti) หรือ จาปาตี (Chapati) แป้งแผ่นทอดหรือจี่จนสุก และนาน (Nan) แป้งแผ่นหนากว่าจาปาตี ปิ้งไฟในเตาทานโดริจนแป้งข้างนอกพองกรอบกับแกงต่างๆ และอาหารที่เป็นเหมือนเครื่องดื่ม คือ นมเปรี้ยว (Yoghurt) ซึ่งในอินเดียเรียกว่า ลัสซี่ (Lassi) มีทั้งรสธรรมชาติและชนิดปรุงรสด้วยเกลือนมเปรี้ยวของอินเดียมีประโยชน์มากในการช่วยย่อยและช่วยระบบขับถ่ายของเสียจากร่างกาย หลังอาหารตามภัตตาคารของอินเดียจะมีเครื่องเทศที่เป็นเม็ดเล็กมีกลิ่นหอมเย็นซ่า (Anisese) ให้อมดับกลิ่นอาหาร และช่วยให้ลมหายใจหอม คนอินเดียส่วนใหญ่เป็นมังสวิรัติ ดังนั้นอาหารมังสวิรัติของอินเดียจึงมีชื่อเสียงไม่แพ้อาหารจานที่ปรุงด้วยเนื้อสัตว์ อาหารมังสวิรัติของอินเดียหากินง่ายและราคาถูก ที่สำคัญคือเลือกบริโภคในร้านที่เห็นว่าสะอาดเท่านั้น
โรงแรมที่พักในอินเดียมีหลายระดับให้เลือกตามความต้องการของนักท่องเที่ยว ในเมืองใหญ่มีโรงแรมหรูหราทันสมัยระดับ 5 ดาว บางเมืองที่เคยมีความสำคัญในประวัติศาสตร์มีปราสาทหรือวังเดิมเปิดเป็นที่ พักนักท่องเที่ยวที่ต้องการสัมผัสบรรยากาศแบบอินเดียโบราณ จัดการโดยลูกหลานผู้สืบเชื้อสายของอดีตมหาราชาเมืองนั้น โรงแรมที่พักหลายแห่งเป็นสาขาของโรงแรมที่มีกิจการทั่วโลก ราคาค่าโรงแรมในอินเดียค่อนข้างสูง
กรุงนิวเดลี (New Delhi)
เป็นสถานที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งในย่านเดลีเก่า “ราชกัจ” เป็นอนุสรณ์สถานที่พักสุดท้ายอันสงบร่มเย็นของท่านมหาตมะคานธี เรียกว่า Smadhi of Mahatama Gandhi บริเวณที่ฝังศพของท่านมหาตมะ เป็นสนามหญ้ารูปสี่เหลี่ยมแวดล้อมด้วยเนินดินสูงทั้งสี่ด้าน มีทางเดินขึ้นเป็นเนินที่ค่อยๆ ลาดสูงขึ้นไป ข้างบนเป็นทางเดินรอบๆ มองลงมาเห็นที่ฝังอังคารของท่านมหาตมะ เป็นแท่นหินแกรนิตสี่เหลี่ยมอยู่ตรงกลาง มีทางเข้าไปยังแท่นบูชาสี่ด้าน อยู่ระหว่างทางเดินขึ้นเนิน เมื่อเข้าไปในบริเวณนี้ทุกคนจะต้องถอดรองเท้าก่อนที่จะเดินเข้าไปคารวะท่านมหาตมะคานธี บนแท่นหินสีดำที่ข้างล่างบรรจุอังคารของท่านมหาตมะคานธีอยู่นั้นจุดประทีปบูชาไว้ตลอดเวลา 1 ดวง บนแท่นหินโรยกลีบดอกไม้หลากสีเป็นมาลาบูชาท่านมหาตมะคานธี
เมืองอัคระหรือ อักรา (Agra) อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของกรุงเดลี อัคระคือนครแห่งความรัก ที่ตั้งทัชมาฮาลอนุสรณ์แห่งความรักที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก ได้รับการยกย่องจากองค์การสหประชาชาติให้เป็นมรดกโลกด้านวัฒนธรรม ทัชมาฮาลเป็นสุสานหินอ่อนสีขาวที่ฝังพระศพพระนางมุมตัส มาฮาล มเหสีของพระเจ้าชาห์ จาฮาน ซึ่งสิ้นพระชนม์เมื่อปี ค.ศ.1631 ขณะมีพระประสูติกาลพระราชธิดาองค์ที่ 14 ระหว่างตามเสด็จพระเจ้าชาห์ จาฮานไปสนามรบ พระเจ้าชาห์จาฮาน ทรงสร้างทัชมาฮาลพระราชวังหินอ่อนสีขาวขึ้นบนริมฝั่งแม่น้ำยมุนา เพื่อเป็นที่ฝังพระศพนางอันเป็นที่รักที่สุด โดยใช้เวลาในการก่อสร้างทัชมาฮาลนานถึง 17 ปี โดยเริ่มลงมือก่อสร้างในปี ค.ศ.1631 ใช้เงินเป็นจำนวนมหาศาลถึง 5 ล้านรูปี ใช้คนงานก่อสร้างฝ่ายต่างๆ ช่างไม้ ช่างแกะสลัก และวิศกรมากถึง 22,000 คน แต่การตกแต่งสถานที่มาเสร็จสมบูรณ์ในปีค.ศ.1653 โดยรวมเวลาที่ใช้ก่อสร้างและตกแต่งทัชมาฮาลจนแล้วเสร็จเป็นเวลานานถึง 22 ปีเต็ม โดยมีสถาปนิกผู้ดูแลการก่อสร้างสร้างชื่อ Ustad Ahmad Lahori พระเจ้าชาห์ จาฮาน ทรงทุ่มเททุกอย่างในแผ่นดินอินเดียเพื่อสร้างพระราชวังที่ฝังพระศพของพระ มเหสีให้สวยที่สุดทรงใช้เงินทองเกือบหมดท้องพระคลัง ทรงนำทองคำ เพชร มรกต ทับทิม และอัญมณีอันล้ำค่ามาจากแหล่งต่างๆ ทั่วโลก เช่น จีน พม่า เปอร์เซีย บังคลาเทศ แบกแดด และยุโรปมาตกแต่งทัชมาฮาลสำหรับหินอ่อนจากเมืองมัครานาในแคว้นราชสถาน ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นแหล่งหินอ่อนที่ดีที่สุดในอินเดียมาสร้างในสมัยนั้นการลำเลียงหินอ่อนชิ้นใหญ่ๆ จากเมืองมัครานาที่อยู่ห่างไกลถึง 300 กว่ากิโลเมตร มายังเมืองอัคระไม่ใช่เรื่อง แต่พระเจ้าชาห์ จาฮาน ก็ทรงทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ดังพระประสงค์ เพียงเพื่อสร้างที่ฝังพระศพของพระมเหสีให้สวยงามที่สุดสมกับความรักที่พระองค์มีต่อนางเท่านั้น ทัชมาฮาลประดับด้วยเพชรนิลจินดามูลค่ามหาศาล ที่ฝังพระศพพระนางมุมตัสนี้ไม่ได้สร้างขึ้นด้วยสถาปัตยกรรมชั้นยอดและตกแต่ง ประดับประดาด้วยศิลปะชั้นเยี่ยมเท่านั้น หากแต่เป็นอนุสรณ์สถานที่ สร้างขึ้นด้วยอนุภาพของความรักอันเป็นความรักอันยิ่งใหญ่เหนือกาลเวลา
ชัยปุระหรือนครแห่งชัยชนะ เป็นเมืองหลวงของรัฐราชสถาน คนอินเดียเรียกเมืองนี้ว่า ไจปูร์ หรือไจเปอร์ ท่านมหาราชา ไสว ชัย สิงห์ ที่ 2 (Sawei Jai Singh II) เป็นผู้สร้างขึ้นเมื่อปีค.ศ.1728 เมืองนี้ได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่ออกแบบวางผังเมืองได้สวยงาม มีสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงคือ พระราชวังแอมเบอร์ ซึ่งเป็นป้อมปราการด้วยจึงเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า Amber Fort กับพระราชวังสายลม ชัยปุระเป็นเมืองหลวงของรัฐราชสถานได้ชื่อว่า นครสีชมพู (Pink city) เพราะในสมัยที่มหาราชา ราม สิงห์ เป็นกษัตริย์ปกครองเมืองชัยปุระเวลานั้น อินเดียเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ ในปีค.ศ.1853 เจ้าชายมกุฏราชกุมารของอังกฤษเสด็จประพาสเมืองชัยปุระมหาราชา รามสิงห์ สั่งให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ในเขตเมืองทาสีบ้านเรือนด้วยสีชมพู (อมส้ม)ทั้งเมืองเพื่อถวายการต้อนรับชัยปุระจึงได้ชื่อว่านครสีชมพูตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ผู้เดินทางออกนอกประเทศสามารถนำสินค้าหรือสิ่งของทุกชนิดออกไปได้ ยกเว้นของเก่าหรือวัตถุโบราณที่มีอายุเกินกว่า 99 ปี เมื่อซื้อของที่ทำขึ้นเพื่อเลียนแบบวัตถุโบราณ ควรของใบเสร็จจากร้านค้ามาด้วยทุกครั้ง จะได้ไม่มีปัญหากับเจ้าหน้าที่สินค้า ที่ทำด้วยหนังสัตว์ เช่น หนังเสือหรือหนังงูก็ห้ามนำออกแต่อนุโลมให้นำหนังวัวชิ้นเล็กๆ และหางนกยูงปริมาณไม่มากนักออกไปได้| 1 | มกราคม | วันปีใหม่ |
| 26 | มกราคม | วันชาติอินเดีย |
| 15 | สิงหาคม | วันประกาศเอกราช |
| 2 | ตุลาคม | วันคล้ายวันเกิดมหาตมะคานธี |
| 25 | ธันวาคม | วันคริสต์มาส |